วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เทคโนโลยี

คำอธิบายรายวิชา
ศึกษาความหมาย ลักษณะสำคัญ ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ข้อมูล
สารสนเทศ การประมวลผลสารสนเทศ ชนิดของข้อมูล การจัดการสารสนเทศ ระดับของสารสนเทศ บทบาท
และประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ของ หน่วยรับเข้า หน่วยส่งออก
และหน่วยเก็บข้อมูล หลักการทำงานของ คอมพิวเตอร์ การใช้งานและดูแลรักษาคอมพิวเตอร์
นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้และชีวิตประจำวัน อย่างมีจิตสำนึก คุณธรรม และจริยธรรม
ผลการเรียนรู้
  1. อธิบายความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้
  2. อธิบายลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้
  3. อธิบายผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้
  4. อธิบายความหมายของข้อมูล สารสนเทศ และการประมวลผลสารสนเทศ
  5. อธิบายชนิดข้อมูลตามแหล่งที่มาและรูปแบบการแทนข้อมูล
  6. อธิบายส่วนประกอบของการจัดการสารสนเทศพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
  7. อธิบายองค์ประกอบหลัก และอุปกรณ์ต่อพ่วงของคอมพิวเตอร์
  8. เข้าใจวิธีการแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ และการแปลงค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานสิบ
  9. อธิบายชนิดของอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก และสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม
  10. อธิบายความแตกต่างและการทำงานของหน่วยความจำและหน่วยเก็บข้อมูล
  11. อธิบายองค์ประกอบและหน้าที่ของหน่วยประมวลผลกลาง รวมถึงความสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างหน่วยประมวลผลและหน่วยความจำ
  12. รู้จักอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆที่อาจทำหน้าที่ได้ทั้งรับและส่งออก
  13. รู้จักวิธีทำความสะอาด และดูแลอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
โครงสร้างรายวิชา

ชื่อหน่วยการเรียนรู้เวลา(ชั่วโมง)
แนะนำรายวิชา/ทดสอบ Pre-Test1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1รู้จักกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1.1 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารคืออะไร1
1.2 ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร
1
1.3 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร
1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2ข้อมูลและสารสนเทศ
2.1 ข้อมูล2
2.2 การจัดการสารสนเทศ1
2.3 ระดับสารสนเทศ1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3องค์ประกอบคอมพิวเตอร์
3.1 คอมพิวเตอร์1
3.2 การแทนข้อมูล2
3.3 หน่วยรับเข้า2
3.4 หน่วยประมวลผลกลาง1
3.5 หน่วยความจำ1
3.6 หน่วยส่งออก1
3.7 หน่วยเก็บข้อมูล1
3.8 อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำงานได้หลายหน้าที่1
3.9 การใช้งานและดูและรักษาคอมพิวเตอร์1

1


ภาษาจีน

ศึกษาทักษะการปฏิบัติตามคำสั่งง่ายๆระบุสัทอักษรตามระบบพินอินอ่านออกเสียง และประสมเสียงคำง่ายๆ ตามหลักการออกเสียงระบุภาพ หรือสัญลักษณ์ ตรงตามความหมายของคำ กลุ่มคำ และประโยคจากการฟังหรือการอ่านตอบคำถามง่ายๆ จากการฟัง พูดโต้ตอบด้วยประโยคสั้นๆ เพื่อสื่อสารระหว่างบุคคลพูดเพื่อขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน ครอบครัว และสิ่งใกล้  เขียนตัวเขียนอักษรจีนตามหลักการเขียน คำศัพท์ง่ายๆบอกความเหมือน หรือความแตกต่างของเสียงตัวอักษร คำ กลุ่มคำ  ประโยค และข้อความของภาษาจีนกับภาษาไทย
โดยใช้กระบวนการฟังการพูดการอ่านการเขียนและกระบวนการคิดวิเคราะห์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการรับสารและส่งสารได้อย่างคล่องแคล่วถูกต้องเข้าถึงสารได้อย่างชัดเจนรวมทั้งกระบวนการสืบเสาะหาความรู้กระบวนการกลุ่มการอภิปรายและมีความสามารถในการสืบค้นข้อมูล

ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง

๑.      ปฏิบัติตามคำสั่งง่ายๆ
๒.    ระบุสัทอักษรตามระบบพินอินอ่านออกเสียง และประสมเสียงคำง่ายๆ ตามหลักการออกเสียง
๓.     ระบุภาพ หรือสัญลักษณ์ ตรงตามความหมายของคำ กลุ่มคำ และประโยคจากการฟังหรือการอ่าน
๔.           ตอบคำถามง่ายๆ จากการฟัง
๕.     พูดโต้ตอบด้วยประโยคสั้นๆ เพื่อสื่อสารระหว่างบุคคล
๖.      พูดเพื่อขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน ครอบครัว และสิ่งใกล้ตัว
๗.     เขียนอักษรจีนตามหลักการเขียน คำศัพท์ง่ายๆ
๘.     บอกความเหมือน หรือความแตกต่างของเสียงตัวอักษร คำ กลุ่มคำ  ประโยค และข้อความของภาษาจีนกับภาษาไทย

รวมทั้งหมด ผลการเรียนรู้

พละ

ศึกษาและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริงในกิจกรรมของกีฬาวอลเลย์บอล กติกา  มารยาท  วิธีเล่น  การเคลื่อนไหว  การออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล  ฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายในการออกกำลังกาย  ทักษะการเล่นกีฬาประเภททีม  เพื่อให้มีความรู้  ความเข้าใจ  และเห็นคุณค่าของสุขภาพ  สมรรถภาพ  ความปลอดภัยในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลของตนเอง และของผู้อื่น  สามารถออกกำลังกายและเล่นกีฬาวอลเลย์บอลเพื่อนำไปใช้ออกกำลังกายในชีวิตประจำวันและเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้อื่นได้
              


สังคม

บทที่ 1
ลักษณะของสังคมชมพูทวีป และคติความเชื่อทางศาสนาสมัยก่อนพระพุทธเจ้า
ในสมัยพุทธกาล อินเดียหรือชมพูทวีป แบ่งอาณาเขตเป็น 2 เขตคือเขตภาคกลาง เรียกว่า มัชฉิมชนบทหรือมัธยมประเทศ เป็นที่อยู่ของชนชาติอริยกะ หรืออารยัน แปลว่า ผู้เจริญเป็นดินแดนของชนผิวขาว
เขตรอบนอก เรียกว่า ประจันตชนบทหรือประจันตประเทศ คือ ประเทศปลายเขตเป็นที่อยู่ของชนชาติมิลักขะ หรืออนารยชน เป็นดินแดนของชนพื้นเมือง
ชมพูทวีป คืออาณาเขตที่เป็นประเทศอินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสสถาน ศรีลังกา บังคลาเทศ และเนปาลในปัจจุบัน (ปัจจุบันเลิกใช้ชื่อชมพูทวีปนี้แล้ว) ในสมัยพุทธกาล ชมพูทวีปนอกจากแบ่งเป็น 2 เขตดังกล่าวแล้ว ได้แบ่งเป็นแคว้นต่างๆ มีจำนวน 16 แคว้น แต่ละแคว้นที่มีความสำคัญในสมัยพุทธกาลมีเพียง 6 แคว้น คือ แคว้นมคธ แคว้นวังสะ แคว้นอวันตี แคว้นกาสี แคว้นสักกะ และแคว้นโกศล
ลักษณะทางด้านการปกครอง แบ่งได้ 2 ระบบ
1. การปกครองแบบราชาธิปไตย พระมหากษัตริย์หรือผู้ครองแคว้นมีอำนาจสิทธิขาดผู้เดียว มีรัชทายาทสืบสันตติวงศ์แคว้นใหญ่ๆ ส่วนมากปกครองด้วยระบบนี้ เช่น
* แคว้นมคธ มีพระเจ้าพิมพิสารปกครอง
* แคว้นโกศล มีพระเจ้าปเสนทิโกศลปกครอง
* แคว้นอวันตี มีพระเจ้าจันปัชโชตปกครอง
* แคว้นวังสะ มีพระเจ้าอุเทนปกครอง
การปกครองของกษัตริย์ แม้จะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครอง แต่ก็มีธรรมเป็นหลักในการปกครอง
หลักธรรมสำคัญของกษัตริย์ ได้แก่
* ทศพิธราชธรรม 10 ประการ
* สังคหวัตถุ 4 ประการ
ทศพิธราชธรรม มีธรรมประกอบด้วย
ทาน              การให้
ศีล                การรักษากาย วาจา ใจให้เป็นปกติ
บริจาคะ        การแบ่งปัน การบริจาคแก่ผู้ยาก
อาชวะ          ความซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น
มัททวะ         ความอ่อนโยน ไม่กระด้าง
ตบะ              ความเพียรพยายาม
อักโกธะ        ความไม่โกรธ
อวิหิงสา       ความไม่เบียดเบียน
ขันติ             ความอดทน อดกลั้น
อวิโรธนะ      ความไม่ทำให้ผิด (ความไม่คลาด)
สังคหวัตถุ ประกอบด้วย
ทาน              การให้ คือการให้สิ่งของให้คุณธรรม ให้อภัย
ปิยะวาจา      คำปราศรัยอันอ่อนโยน
อัตถจริยา      การทำตนให้เกิดประโยชน์
สมานัตตา     การวางตนเสมอตน เสมอปลาย
2. การปกครองแบบสามัคคีธรรม หรือการปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบบนี้ไม่มีพระมหากษัตริย์ผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาด ไม่มีการสืบสันตติวงศ์ การปกครองระบบนี้การบริหารประเทศขึ้นอยู่กับสถาบันสำคัญ คือ รัฐสภา ซึ่งสมัยเรียกว่า สัณฐาคาร มีประมุขรัฐสภาและมีคณะกรรมการรัฐสภาเป็นคณะกรรมการบริหารในสมัยพุทธกาล มีลักษณะดังนี้
ประมุขรัฐสภา  ผู้เคยดำรงตำแหน่งนี้คือพระเจ้าสุทโธทนะแห่งศากยวงศ์ แคว้นสักกะ กรุงกบิลพัสดุ์
คณะกรรมการ
ฝ่ายบริหารบ้านเมือง  ในสมัยพุทธกาล ได้แก่ กษัตริย์ลิจฉวี แห่งเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี
กรรมการรัฐสภา  มาจากหัวหน้าครอบครัวใหญ่ๆ ระดับเมือง (ชนบท) ระดับอำเภอ
สมาชิกรัฐสภาจะต้องให้คำปฏิญญาต่อสัณฐาคาร หรือรัฐสภา เช่น จะรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ส่วนรวม จะไม่ขาดประชุม จะแสดงความคิดโดยเปิดเผย จะต้องปราศจากความโกรธแคว้นเมื่อถูกกล่าวหา และจะยอมรับสารภาพถ้ากระทำผิด
หลักธรรมที่การปกครองยึดถือปฏิบัติคือ อปริหานิยธรรม มีสาระสำคัญ คือ
* หมั่นประชุมกันอย่างเนืองนิตย์
* พร้อมเพียงกันประชุม พร้อมเพียงกันเลิกประชุม
* ไม่บัญญัติสิ่งใหม่อันขัดต่อหลักการเดิม ไม่ล้มล้างบัญญัติเก่าที่ยังใช้ได้อยู่
* เคารพนับถือและเชื่อฟังผู้ใหญ่
* ปกครองสตรี มิให้ถูกข่มเหงรังแก
* เคารพในปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ
* คุ้มครองป้องกันภัยแก่ สมณ ชี พราหมณ์ ผู้เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชน
ลักษณะสังคมของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล
สังคม หมายถึง กลุ่มชนที่อยู่รวมกัน เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นประเทศชาติ โดยมีระบบแห่งความสัมพันธ์ที่มีหลักการ ได้แก่ การปกครอง การศึกษา เศรษฐกิจ ศาสนา ความก้าวหน้าทางศิลปวิทยา และการนันทนาการ
ลักษณะทางสังคมของชมพูทวีปสมัยพุทธกาล ได้มีการแบ่งวรรณะอยู่แล้วเป็น 4 วรรณะคือ
* วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ พวกเจ้า กษัตริย์ นักรบ นักปกครอง สีประจำวรรณะ คือสีแดง
* วรรณะพราหมณ์ ได้แก่ นักบวช ศึกษาคัมภีร์พระเวท มีหน้าที่ติดต่อกับเทวะหรือเทพเจ้า ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สีประจำวรรณะ คือสีขาว
* วรรณะแพศย์ ได้แก่ พ่อค้า คหบดี หรือบุคคลที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น พาณิชยกรรม เกษตรกรรม ศิลปหัตถกรรม พวกนี้เป็นชนชั้นกลางในสังคม สีประจำวรรณะ คือสีเหลือง
* วรรณะศูทร ได้แก่ กรรมกร ลูกจ้าง เป็นพวกชนชั้นต่ำ ผู้ใช้แรงงาน เป็นชนชั้นล่างของสังคม สีประจำวรรณะ คือสีเขียว หรือสีดำ
นอกจากนี้ ยังมีพวกนอกวรรณะ ที่เรียกว่า จัณฑาล ถือว่าเป็นคนชั้นต่ำสุด เพราะถือกำเนิดจากมารดาที่มีวรรณะสูงกว่าบิดา เช่น มารดาเป็นแพศย์ บิดาเป็นศูทร บุตรจะเกิดมาเป็นจัณฑาล ถูกเหยียดหยามจากวรรณะอื่นๆ ไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ใดๆ ทางสังคม
มูลเหตุที่ทำให้เกิดวรรณะ

ประวัติศาสนา

ศึกษา วิเคราะห์ ความสำคัญของเวลาในการศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์และความสำคัญของอดีตที่มีต่อปัจจุบันและอนาคต  ที่มาและตัวอย่างการใช้ศักราชในเอกสารประวัติศาสตร์ไทย วิธีการเทียบศักราชตามแบบต่างๆ  การนำวิธีการทางประวัติศาสตร์ไปใช้ศึกษาเรื่องราวของประวัติศาสตร์ไทยที่มีอยู่ในท้องถิ่นและเหตุการณ์สำคัญสมัยสุโขทัย  ประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนสุโขทัยในดินแดนไทยโดยสังเขป  รัฐโบราณและรัฐไทยในดินแดนไทย
                โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์  กระบวนการสืบค้นข้อมูล  กระบวนการปฏิบัติ  กระบวนการกลุ่ม  กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ  กระบวนการแก้ปัญหา  และวิธีการทางประวัติศาสตร์
                เพื่อให้เกิดความรู้  ความเข้าใจถึงความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ  เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย พัฒนาการด้านต่างๆ วัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาไทย  มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านรักชาติ  ศาสน์  กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต  มีวินัย  ใฝ่เรียนรู้  มุ่งมั่นในการทำงาน  รักความเป็นไทย  และมีจิตสาธารณะ

ภาษาไทย

1.การสร้างคำโดยใช้คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ คำซ้ำ และคำซ้อน

           การสร้างคำในภาษาไทย
           คำที่ใช้ในภาษาไทยดั้งเดิม ส่วนมากจะเป็นคำพยางค์เดียว เช่น พี่น้อง เดือนดาว จอบไถ หมูหมา กิน นอน ดี ชั่ว สอง สาม เป็นต้น เมื่อโลกวิวัฒนาการ มีสิ่งแปลกใหม่เพิ่มขึ้น ภาษาไทยก็จะต้องพัฒนาทั้งรูปคำและการเพิ่มจำนวนคำ เพื่อให้มีคำใช้ในการสื่อสารให้เพียงพอ กับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุสิ่งของและเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยการสร้างคำ ยืมคำและเปลี่ยนแปลงรูปคำซึ่งจะมีรายละเอียดดังนี้

           แบบสร้างคำ
           แบบสร้างคำ คือ วิธีการนำอักษรมาประสมเป็นคำเกิดความหมายและเสียงของแต่ละ พยางค์ ใน ๑ คำ จะต้องมีส่วนประกอบ ๓ ส่วน เป็นอย่างน้อย คือ สระ พยัญชนะและวรรณยุกต์ อย่างมากไม่เกิน ๕ ส่วน คือ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ตัวการันต์

           รูปแบบของคำ
           คำไทยที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีทั้งคำที่เป็นคำไทยดั้งเดิม คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ คำศัพท์เฉพาะทางวิชาการคำที่ใช้เฉพาะในภาษาพูด คำชนิดต่าง ๆ เหล่านี้มีชื่อเรียกตามลักษณะ และแบบสร้างของคำ เช่น คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ คำพ้องรูป คำพ้องเสียง คำเหล่านี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ผู้เรียนจะเข้าใจลักษณะแตกต่างของคำเหล่านี้ได้จากแบบสร้างของคำ

           ความหมายและแบบสร้างของคำชนิดต่าง ๆ     
           1. คำมูล

           คำมูล คือ คำ ๆ เดียวที่มิได้ประสมกับคำอื่น อาจมี ๑ พยางค์ หรือหลายพยางค์ก็ได้ แต่่เมื่อแยกพยางค์แล้วแต่ละพยางค์ไม่มี
ความหมาย คำภาษาไทยที่ใช้มาแต่เดิมส่วนใหญ่ เป็นคำมูลที่มีพยางค์เดียวโดด ๆ เช่น พ่อ แม่ กิน เดิน
            ตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล 
         คนมี ๑ พยางค์ คือ คน
         สิงโตมี ๒ พยางค์ คือ สิง + โต
         นาฬิกามี ๓ พยางค์ คือ นา + ฬิ + กา
         ทะมัดทะแมงมี ๔ พยางค์ คือ ทะ + มัด + ทะ + แมง
         กระเหี้ยนกระหือรือมี ๕ พยางค์ คือ กระ + เหี้ยน + กระ + หือ + รือ
          จากตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล จะเห็นว่าเมื่อแยกพยางค์จากคำแล้ว แต่ละพยางค์ไม่มีความหมายในตัวหรืออาจมีความหมายไม่ครบทุกพยางค์ คำเหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อนำทุกพยางค์มารวมเป็นคำ ลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นคำเดียว
โดด ๆ 


           2. คำประสม
           คำประสม คือ คำที่สร้างขึ้นใหม่โดยนำคำมูลตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประสมกัน เกิดเป็นคำใหม่ขึ้นอีกคำหนึ่ง
               ๑. เกิดความหมายใหม่
               ๒. ความหมายคงเดิม
               ๓. ให้ความหมายกระชับขึ้น

ลูกเสือ-เนตรนารี

กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี คือ กระบวนการพัฒนาเยาวชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาลูกเสือทั้งทางกาย สติปัญญา จิตใจ และศีลธรรม ให้เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ และช่วยสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความสามัคคีและมีความเจริญก้าวหน้า ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงของประเทศชาติตามแนวทางดังต่อไปนี้

  • ให้มีนิสัยในการสังเกต จดจำ เชื่อฟัง และพึ่งตนเอง

  • ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต มีระเบียบวินัย และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

  • ให้รู้จักบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสาธารณะประโยชน์

  • ให้รู้จักทำการฝีมือและฝึกฝนการทำกิจกรรมต่างๆ ตามความเหมาะสม

  • ให้รู้จักรักษาและส่งเสริมจารีตประเพณี วัฒนธรรม และความมั่นคงของประเทศชาติ

ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี อยู่ในกลุ่มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่นักเรียนทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรมและต้องผ่านการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด โรงเรียนอำนวยศิลป์จึงจัดการเรียนการสอนกิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารีตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 เป็นกิจกรรมตามหลักสูตรลูกเสือ-เนตรนารีสำรอง ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 เป็นกิจกรรมตามหลักสูตรลูกเสือ-เนตรนารีสามัญ และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 เป็นกิจกรรมตามหลักสูตรลูกเสือ-เนตรนารีสามัญรุ่นใหญ่

Amnuay Silpa School Scouts

ศิลปะ



ในสมัยโบราณ นักปราชญ์ได้ให้ความหมายของศิลปะ (Art) ไว้ว่า ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ   เพราะฉะนั้น   ต้นไม้ ภูเขา ทะเล น้ำตก  ความงดงามต่าง  ๆ ตามธรรมชาติจึงไม่เป็นศิลปะ  ดอกไม้ที่เห็นว่าสวยสดงดงามนักหนา ก็ไม่ได้เป็นศิลปะเลย ถ้าหากเรายึดถือตามความหมายนี้แล้ว
สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิลปะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น  ภาพวาด ภาพพิมพ์ งานปั้น งานแกะสลัก  เสื้อผ้าอาภรณ์  เครื่องประดับ ที่อยู่อาศัยยานพาหนะ เครื่องใช้สอย
ความงามในงาน  ศิลปะออกเป็น 2 ประเภท คือ 
1. ความงามทางกาย (Physical Beauty) เป็นความงามของรูปทรงที่กำหนดเรื่องราว หรือเกิดจากการประสานกลมกลืนกันของทัศนธาตุ เป็นผลจากการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ
2.ความงามทางใจ (Moral  Beauty) ได้แก่ ความรู้สึก หรืออารมณ์ ที่แสดงออกมาจากงานศิลปะหรือ ที่ผู้ชมสัมผัสได้จากงานศิลปะนั้น ๆ ในงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ๆ มีความงามทั้ง 2 ประเภทอยู่ร่วมกัน  แต่อาจแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง  มากน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของงาน  เจตนาของผู้สร้างและการรับรู้ของผู้ชมด้วย

  ดังนั้น  จึงอาจสรุปได้ว่า “ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดความงาม และความพึงพอใจ” ที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์สืบเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตอันยาวนานจนถึงปัจจุบัน  และจะสร้างสรรค์สืบต่อไปในอนาคตให้อยู่คู่กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปตราบนานเท่านาน  โดยมีการ สร้างสรรค์ พัฒนารูปแบบต่าง ๆ ออกไปอย่างมากมายไม่มีที่สิ้นสุดมีคนเป็นจำนวนมากยังไม่เข้าใจคุณค่าของงานทัศนศิลป์ คิดว่าทัศนศิลป์คือสิ่งที่เกินความจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่ จริงอยู่ทัศนศิลป์มิใช่ปัจจัย 4 แต่ก็ให้ประโยชน์และมีคุณค่าต่อชีวิตมนุษย์ในด้านจิตใจและอารมณ์ไม่มากก็น้อย การที่มนุษย์ผู้นั้นจะรู้คุณค่าของงานทัศนศิลป์ได้นั้น ต้องเกิดความเข้าใจและเกิดความชื่นชม ศรัทธาเสียก่อน จึงจะรู้คุณค่าของงานทัศนศิลป์ได้ดี ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเรียนรู้คุณค่าของงานทัศนศิลป์ โดยผลงานทัศนศิลป์สามารถ แบ่งคุณค่าได้เป็น 2 คุณค่าใหญ่ๆ คือ
1. คุณค่าทางความงาม (Aesthetics Value)  ความประณีตความละเอียดมีระเบียบ น่าทึ่ง มโหฬาร ประหลาด แปลกหูแปลกตา และเป็นสิ่งที่มีคุณงามความดีหรือดีเลิศทำให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจไปอีกนาน สิ่งเหล่านี้เรียกรวมกันว่าคุณค่าทางความงาม ความงามที่มีอยู่ในงานทัศนศิลป์ เกิดจากการประสานกันของส่วนประกอบต่างๆ ของความงามเช่น จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา พื้นผิว ความกลมกลืน และการจัดภาพ เป็นต้น โดยผู้สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์จะแสดงออกตามความรู้สึก ในแต่ละเหตุการณ์แต่ละสังคม เพราะความงามของแต่ละสังคมย่อมมีความแตกต่างกัน ดังนั้นถ้าตั้งใจมองงานทัศนศิลป์ทั้ง 3 แขนง อย่างจริงจังโดยสังเกตพิจารณาวิเคราะห์ทุกมุม จะเห็นคุณค่าหรือเสน่ห์ในตัวเอง
2. คุณค่าทางเรื่องราว (Content Value) ผลงานทัศนศิลป์สามารถบอกเล่าเหตุการณ์ เรื่องราว ความเชื่อ และรสนิยมของมนุษย์ในสังคมแต่ละสมัยทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้น การมองคุณค่าในแต่ละสมัยจึงมีความแตกต่างกันออกไป คุณค่าทางเรื่องราวที่นำมาสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ มีดังนี้
1. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
2. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อในสิ่งเร้นลับ ศรัทธา
3. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี
4. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง
5. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
6. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับวรรณคดี นิทานพื้นบ้าน สำนวน คำพังเพย สุภาษิต
7. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ทัศนธาตุ (Visual Elements)
ในทางทัศนศิลป์ หมายถึง  ส่วนประกอบของศิลปะที่มองเห็นได้ ประกอบไปด้วย
1. จุด (Dot)  หมายถึง  รอยหรือแต้มที่มีลักษณะกลม ๆ  ปรากฎที่พื้นผิว  ซึ่งเกิดจากการจิ้ม กด กระแทก ด้วยวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ  เช่น ดินสอ ปากกา พู่กัน และวัสดุปลายแหลมทุกชนิด จุด เป็นต้นกำเนิดของเส้น รูปร่าง รูปทรง แสงเงา พื้นผิว ฯลฯ เช่น นำจุดมาวางเรียงต่อกันจะเกิดเป็นเส้นและการนำจุดมาวาง
ให้เหมาะสม ก็จะเกิดเป็นรูปร่าง รูปทรง และลักษณะผิวได้
2. เส้น (Line)  เป็นสิ่งที่มีผลต่อการรับรู้  เพราะทำให้เกิดความรู้สึกต่ออารมณ์และจิตใจของมนุษย์  เส้นเป็นพื้นฐานสำคัญของศิลปะทุกแขนง  ใช้ร่างภาพเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เห็นและสิ่งที่คิดจินตนาการให้ปรากฏเป็นรูปภาพ

คริสต์ศาสนา

ศาสนาคริสต์ พัฒนามาจากศาสนายิว เป็นศาสนาแบบเทวนิยมนับถือพระเจ้าองค์เดียวคือ พระยะโฮวา
หลักตรีเอกานุภาพ
- พระบิดา คือพระเจ้าสร้างโลก เป็นผู้่สร้างทุกสิ่ง
- พระบุตร คือ พระเยซู
- พระจิต คือ พระเจ้าที่ปรากฏเป็นดวงวิญญาณของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ประกอบกรรมดี
บัญญัติ 10 ประการ
- นับถือพระเจ้าองค์เดียว
- อย่าออกนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ
- จงถือวันพระเจ้าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
- จงนับถือบิดา มารดา
- อย่าฆ่ามนุษย์
- อย่าผิดประเวณี
- อย่าลักทรัพย์
- อย่าเป็นพยานกล่าวเท็จ
- อย่าคิดมิชอบ
- อย่าโลภได้ของผู้อื่น
พิธีกรรมที่สำคัญในศาสนาคริสต์
- ศีลล้างบาป
- ศีลกำลัง
- ศีลแก้บาป
- ศีลมหาสนิท
- ศีลเจิม
- ศีลสมรส
- ศีลบวช
คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ คือ คัมภีร์ไบเบิล

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

วิทยาศาสตร์

บทที่ 1 แรงและการเคลื่อนที่
1. แรง ปริมาณสเกลาร์ และปริมาณเวกเตอร์
2. ชนิดของแรง
3. โมเมนตัมของแรง
4. ความหมายของการเคลื่อนที่ และแบบของการเคลื่อนที่

บทที่ 2 งานและพลังงาน
1. งานกับการคำนวณเกี่ยวกับงาน
2. พลังงานและการเปลี่ยนรูปของพลังงาน
3. พลังงานความร้อน
4. การใช้และการอนุรักษ์พลังงาน

บทที่ 3 บรรยากาศ
1. ส่วนประกอบของอากาศ
2. อุณหภูมิของอากาศและชั้นบรรยกาศ
3. ความดันของอากาศและความชื้นของอากาศ
4. ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ
5. อุตุนิยมวิทยาและมลภาวะในชีวิตประจำวัน

วิชาการงานอาชีพ




สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนนะค่ะ พอดีวันนี้ไปอ่านเจอวิธีทำเงินค่ะ เพื่อนๆ คงสงสัยกันว่ามันเกี่ยวอะไรกับตุ๊กตาหรือว่าแพทเทินตุ๊กตา นกขอบอกว่าอันอื่นไม่เกี่ยว แต่อันนี้เกี่ยวอย่างมากๆ ค่ะ เพราะว่านั่นคือ แอ่น..แอ้น ตุ๊กตาถุงเท้าการบูร (Camphor sock dolls pattern) เป็นไงละโดนบ้างหรือเปล่าค่ะ พอเจออย่างนี้แล้วนกก็เลยอยากนำมาเล่าสู่เพื่อนๆ บ้างค่ะ เริ่มเลยนะค่ะ (ต่อจากนี้เป็นข้อความที่อยู่ในหนังสือทั้งหมด นกขออนุญาตก็อปมาทั้งหมดนะค่ะ เพื่อเป็นการให้เกียรติ เจ้าของหนังสือค่ะ)

วันนี้เรามีงานอดิเรกที่น่ารักๆ มาแนะนำกันอีกครั้ง โดยขั้นตอนการก็ไม่ยุ่งยากเลยใครก็ทำได้ ทั้งยังปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบตามแต่จะจินตนาการ ซึ่งก็คือ "ตุ๊กตาการบูร เด็กแนว" ลองทำดูแล้วจะรู้ว่าง่าย ใช้แขวนดับกลิ่นหรือเพิ่มความสดชื่น ที่สำคัญกลายเป็นอาชีพเสริมให้กับคุณแม่บ้านก็ได้ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

วิชาคณิตศาสตร์



เนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.1
เนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้น ม.1 ( เทอม 1 ) 

คณิตศาสตร์พื้นฐาน ( เลขหลัก )

บทที่ 1. สมบัติของจำนวนนับ
1. ตัวหารร่วมมากและการนำไปใช้
2. ตัวคูณร่วมน้อยและการนำไปใช้

บทที่ 2. ระบบจำนวนเต็ม
1. จำนวนเต็ม
2. การบวกจำนวนเต็ม
3. การลบจำนวนเต็ม
4. การคูณจำนวนเต็ม
5. การหารจำนวนเต็ม
6. สมบัติของจำนวนเต็ม

บทที่ 3. เลขยกกำลัง
1. ความหมายของเลขยกกำลัง
2. การดำเนินการของเลขยกกำลัง
3. การนำไปใช้

บทที่ 4. พื้นฐานทางเรขาคณิต
1. จุด เส้นตรง ส่วนของเส้นตรง รังสีและมุม
2. การสร้างพื้นฐาน
3. การสร้างรูปเรขาคณิตอย่างง่าย

คณิตศาสตร์เสริม ( เลขเสริม )
บทที่ 1. การประยุกต์ 1
1. รูปเรขาคณิต
2. จำนวนนับ
3. ร้อยละในชีวิตประจำวัน
4. ปัญหาชวนคิด

บทที่ 2. จำนวนและตัวเลข
1. ระบบตัวเลขโรมัน
2. ระบบตัวเลขฐานต่าง ๆ
3. การเปลี่ยนฐานในระบบตัวเลข

บทที่ 3. การประยุกต์ของจำนวนเต็มและ เลขยกกำลัง
1. การคิดคำนวณ
2. โจทย์ปัญหา

บทที่ 4. การสร้าง
1. การแบ่งส่วนของเส้นตรง
2. การสร้างมุมขนาดต่าง ๆ
3. การสร้างรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน

- - - - - - - - - - - - - - - - 
เนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้น ม.1 ( เทอม 2 ) 
คณิตศาสตร์พื้นฐาน ( เลขหลัก )

บทที่ 1. ทศนิยมและเศษส่วน
1. ทศนิยมและการเปรียบเทียบทศนิยม
2. การบวกและการลบทศนิยม
3. การคูณและการหารทศนิยม
4. เศษส่วนและการเปรียบเทียบเศษส่วน
5. การบวกและการลบเศษส่วน
6. การคูณและการหารเศษส่วน
7. ความสัมพันธ์ระหว่างทศนิยมและเศษส่วน

บทที่ 2. การประมาณค่า
1.ค่าประมาณ
2. การปัดเศษ
3. การประมาณค่า

บทที่ 3. คู่อันดับและกราฟ
1. คู่อันดับและกราฟของคู่อันดับ
2. กราฟและการนำไปใช้

บทที่ 4. สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
1. แบบรูปและความสัมพันธ์
2. คำตอบของสมการ
3. การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
4. โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว

บทที่ 5. ความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ
1. ภาพของรูปเรขาคณิตสามมิติ
2. หน้าตัดของรูปเรขาคณิตสามมิติ
3. ภาพที่ได้จากการมองทางด้านหน้า ด้านข้าง และ ด้านบน ของรูปเรขาคณิตสามมิติ
4. รูปเรขาคณิตที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก์

คณิตศาสตร์เสริม ( เลขเสริม )
บทที่ 1. การเตรียมความพร้อมในการให้เหตุผล
1. ข้อความคาดการณ์
2. ประโยคเงื่อนไข
3. บทกลับของประโยคเงื่อนไข
4. การให้เหตุผล

บทที่ 2. พหุนาม
1. เอกนาม
2. การบวกและการลบเอกนาม
3. พหุนาม
4. การบวกและการลบพหุนาม
5. การคูณพหุนาม
6. การหารพหุนาม

บทที่ 3. บทประยุกต์ของเศษส่วนและทศนิยม
1. แบบรูปของจำนวน
2. ข่ายงาน
3. การประยุกต์ของเศษส่วนและทศนิยม
-